วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ปาฏิหาริย์เสด็จพ่อรัชกาลที่ ๕

ภาพถ่ายคนั้งแรก
ในโลกมนุษย์เรานี้  มีเรื่องแปลกแต่จริงสารพัด  เชื่อว่าท่านทั้งหลายต่างก็คงจะเคยสัมผัสกันมาแล้ว  และแต่ละท่านก็คงจะได้พบ ได้เห็นความมหัศจรรย์ ความเร้นลับลึกลับในโลกวิญญาณหรือที่เรียกอีกชื่อหนึงว่าโลกลี้ลับ ก็แล้วแต่จะตั้งชื่อให้น่าอ่าน น่าฟังแตกต่างกันไปตามความวิจิตรของจิต  เรื่องของโลกวิญญาณนี้เป็นโลกที่มีจริง ในพระไตรปิฏกได้กล่าวไว้ เกี่ยวกับเรื่องภูมิ  ๓๑  ได้แก่  อบายภูมิ ๔, มนุษย์ภูมิ ๑, สวรรค์ภูมิ ๖, รูปภูมิ ๑๖, อรูปภูมิ ๔  ในอรูปภูมินี้มีแต่จิตคือมีแต่นามไม่มีรูป  จึงเป็นภูมิที่ไม่สามารถเจริญสติปักฐานได้ ไม่สามารถที่จะเจริญปัญญาได้เลย

สำหรับในโลกวิญญาณที่ฉันจะนำมาเล่านี้  เป็นวิญญาณในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เหมือนภูมิมนุษย์  ซึ่งจัดว่ายังอยู่ในกามาวจรภูมิ  คือเป็นภูมิที่มีจิตติดข้องยินดีพอใจเป็นไปในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสทางกาย (เย็น ร้อน อ่อน แข็ง) หมายถึงเทวดาในสวรรค์ภูมิ  เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเรื่องความปาฏิหาริย์ของเสด็จพ่อรัชกาลที่ ๕  ท่านได้แสดงให้เห็นความมีอิทธิฤทธิ์ของท่าน

ภาพถ่ายครั้งที่ ๒
มีอยู่วันหนึ่งฉันได้โทรศัพท์มือถือใหม่ (ของเก่าของลูกชาย) ฉันก็นึกอยากจะถ่ายรูปเสด็จพ่อไว้ในโทรศัพท์  จึงได้ขออนุญาตท่านแล้วจึงถ่าย  พอถ่ายเสร็จก็เปิดดูภาพ  ปรากฏว่าภาพเป็นสีดำหมดเลย ตกใจคิดว่าถ่ายไม่ติด แต่พอพิจารณาดูจริง ๆ  ถ่ายติดเหมือนกัน  แต่ไม่ใช่ภาพชุดเต็มยศที่ฉันต้องการถ่าย กลับกลายเป็นภาพคู่ซึ่งดูแล้วก็ใช่ภาพของท่าน  มีรูปผู้หญิงยืนอยู่ข้าง ๆ ท่าน เห็นเป็นรูปผู้หญิงโบราณ  ท่านผู้อ่านลองคลิกภาพขยายใหญ่ดูนะคะ  แล้วลองพิจารณาดูเองก็แล้วกันว่าเป็นภาพของใคร  ฉันเห็นว่าเป็นเรื่องแปลกแต่จริง จึงได้นำมาเล่าสู่กันฟัง

มีอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับปาฏิหาริย์ของเสด็จพ่อเช่นกัน  เสด็จพ่อมาปรากฏให้ลูกสาวเห็นเป็นคนยืนยิ้มให้  ท่านมายืนยิ้มอยู่ที่โต๊ะทำงานของสามีฉัน  ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นราว ๆ  ๕ โมงเย็น ลูกสาวตอนนั้นเขาเรียนอยู่ ป.๕ เขาบอกฉันว่า "มีผู้ชายคนหนึ่งมีหนวดหน้าผากสูง มีผมนิดหน่อย เป็นคนไทย เขายืนยิ้มให้ ไม่รู้ว่ามาทำไม มาได้ยังไงก็ไม่รู้" ฉันได้บอกลูกสาวให้พาไปดูซิว่ามายืนอยู่ตรงไหน เผื่อแม่จะเห็นบ้าง  เขาก็พาฉันเข้าไปในห้องทำงานของสามีฉันแล้วชี้ตรงที่เขาเห็น  ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อว่าเขาเห็นเสด็จพ่อจริง ๆ  พอเข้าไปในห้องทำงาน  เหลือบไปเห็นรูปของเสด็จพ่อตั้งอยู่ที่บนหลังตู้  จึงได้เชื่อว่าเป็นเสด็จพ่อแน่นอนเลย  ฉันจึงได้บอกกับลูกว่า ที่เห็นนั้นก็คือพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ ๕  ท่านสวรรคตไปแล้ว ท่านได้ไปเกิดเป็นเทวดา  ลูกฉันเขาบอกว่า ท่านมีหน้าตาเหมือนในรูปนั่นแหละและท่านยังยิ้มให้ด้วย  ฉันก็เลยเล่าแถมอีกหน่อย  เกี่ยวกับพระปรีชาสามารถของพระองค์ให้ลูกฟัง ว่าท่านเป็นกษัตริย์ที่เก่งกล้าสามารถเป็นพิเศษ สมัยที่ท่านเป็นกษัตริย์  ท่านได้เป็นผู้ประกาศการเลิกทาส มีการส่งเสริมการศึกษาเล่าเรียนของประชาชน  เป็นผู้ประกาศให้ประชาชนมีนามสกุลใช้เป็นครั้งแรก เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยเป็นครั้งแรก  ท่านเป็นที่รักยิ่งของประชาชนชาวไทยมาจนถึงทุกวันนี้  จึงได้ฉายานามว่า "พระปิยะมหาราช" ลูกสาวก็สนใจฟังและฉันก็ได้อธิบายต่ออีกว่า ที่ท่านมาปรากฏให้เห็นเป็นเหมือนคนนั่นน่ะ  คนที่ได้เห็นท่านก็แสดงว่าเป็นคนโชคดีเพราะท่านไม่ได้มาปรากฏให้เห็นบ่อย ๆ   แม่เองก็ยังไม่โชคดีที่จะได้เห็นท่านเช่นนั้น

การที่จะได้เกิดเป็นเทวดานั้น  จะต้องเป็นผลของความดีเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์  คือตอนมีชีวิตอยู่  ก็มีการทำทาน รักษาศีล สวดมนต์ ฟังธรรมและปฏิบัติธรรมตามเวลาอันสมควรอยู่เนื่อง ๆ  ตายไปก็จะได้ไปเกิดเป็นเทวดา ๆ  ก็มีหลายระดับหลายชั้น จะได้เป็นเทวดาอยู่ชั้นไหนนั้น ขึ้นอยู่ที่กำลังของบุญกุศลที่ได้สะสมมา  เสด็จพ่อรัชกาลที่ ๕ ท่านสร้างบุญบารมีไว้เยอะมาก  จึงได้เกิดเป็นเทวดาในชั้นสูงและมีอิทธิฤทธิ์มาก ท่านคอยช่วยเหลือคุ้มครองลูกหลานและประเทศชาติให้รอดพ้นจากความหายนะและภยันตรายทั้งปวง ถ้าผู้ใดเคารพบูชาท่าน  เวลามีความทุกข์  มีความเดือดร้อนหรือมประสบภัยต่าง ๆ  เมื่อจิตระลึกถึงท่านด้วยความศรัทธา ก็จะรอดปลอดภัยได้อย่างอัศจรรย์  

ในโอกาสนี้  ข้าพเจ้าขอน้อมกราบถวายบังคมแด่พระปิยะมหาราชเจ้า  อานิสงส์จากบุญกุศลใด ๆ ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญแล้วนั้น รวมทั้งอานิสงส์จากการเขียนบทความนี้ เพื่อเผยแพร่บารมีของพระองค์ ขอน้อมถวายเพื่อเป็นการบูชาพระคุณของพระองค์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ