วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555

ชมและนมัสการพระธาตุท่าอุเทน

วันนี้ก็จะขอเล่าเรื่องการไปนมัสการพระธาตุท่าอุเทนเลยนะคะ....หลังจากที่ได้ไปนมัสการพระธาตุนครเสร็จเรียบร้อยแล้ว  เราก็มุ่งหน้าไปอำเภอท่าอุเทนทันที  เพื่อที่จะได้มีเวลาสำหรับไปนมัสการพระธาตุพนม ที่อำเภอธาตุพนม......อำเภอท่าอุเทนมีวัดพระธาตุที่เก่าแก่มาก ซึ่งนับเป็นโบราณสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดนครพนม วัดพระธาตุท่าอุเทนมีพระธาตุที่สวยงามแปลกกว่าวัดอื่น ๆ ที่เห็นมา คือองค์พระธาตุจำลองแบบมาจากพระธาตุพนม  มีสัดส่วนเล็กกว่าและมีความสูงกว่าพระธาตุพนม บริเวณฐานและชั้นเรือนธาตุมีลายปูนปั้นงดงามมาก.....เมื่อไปถึงวัดพระธาตุท่าอุเทน ก็เห็นซุ้มประตูสวยงามและองค์พระธาตุสง่างาม ซึ่งแปลกกว่าพระธาตุพนมตรงที่ไม่มีการตกแต่งอะไรมาก แต่ดูสวยงามไปอีกแบบ เราได้เข้าไปนมัสการองค์พระธาตุท่าอุเทน ได้สวดมนต์และเวียนเทียน ๓ รอบถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา วันนั้นอากาศร้อนมาก เพราะเป็นเวลาใกล้จะเที่ยงวัน ด้วยความศรัทธาถึงแม้ว่าบริเวณที่เดินเวียนเทียนรอบพระธาตุ จะเป็นพื้นซีเมนต์ซึ่งร้อนมาก แต่เราก็เดินกันจนครบสามรอบโดยไม่รู้สึกร้อนเลย เพราะขณะนั้นจิตแน่วแน่อยู่ที่บทสวดมนต์  เวลาเวียนเทียนฉันจะสวดมนต์บทอิติปิโสฯ ไปด้วย บางครั้งก็สวดบทพาหุงฯ บางครั้งก็สวดพระคาถาชินบัญชร  บางครั้งก็สวดหลายบทจนกว่าจะเดินครบ ๓ รอบ ถ้าไม่สวดมนต์จิตคงฟุ้งน่าดู กว่าจะเดินครบสามรอบ คงสะสมอกุศลมากมายทีเดียว แถมยังขาดทุนยับเยินหมด ตั้งใจมาบำเพ็ญกุศลกลายเป็นบำเพ็ญอกุศลก็แย่สินะ การสวดมนต์ขณะเดินเวียนเทียน ก็เพื่อน้อมจิตให้ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณและพระสังฆคุณ สภาพจิตขณะนั้นก็จะผ่องใสเป็นกุศล

ความรู้เกี่ยวกับวัดพระธาตุท่าอุเทน วัดนี้ตั้งอยู่ใน ตำบลท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม  วัดพระธาตุท่าอุเทนเป็นโบราณสถานที่สำคัญ  เป็นสถานที่ประดิษฐ์พระบรมสารีริกธาตุจากพม่า  ประวัิติการก่อสร้างไม่แน่ชัดนัก ตามประวัติที่มีจารึกไว้ที่กำแพงพระธาตุซึ่งเป็นตัวอำษรไทยน้อย  กล่าวว่า อาจารย์สีทัตถ์ได้ชักชวนพระภิกษุสงฆ์และชาวบ้านผู้มีจิตศรัทธา ให้มาร่วมกันก่อสร้างพระธาตุ ได้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๔ ใช้เวลาทั้งหมด ๖ ปี เสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ.๒๔๕๙ พระธาตุอุเทนมีลักษณะเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนอยู่ในผังสี่เหลี่ยม กล่าวกันว่าได้จำลองแบบมาจากพระธาตุพนม  แต่มีสัดส่วนขององค์พระธาตุเล็กกว่า มีความสูงว่าพระธาตุพนม บริเวณฐานและเรือนธาตุมีลายปูนปั้นงดงามมาก ภายในองค์พระธาตุก่อเป็น ๓ ชั้น ชั้นแรกอยู่ด้านในสุด เป็นอุโมงค์เพื่อบรรจุสิ่งของมีค่าต่าง ๆ ชั้นที่ ๒ ครอบอุโมงค์สูงประมาณ ๕ วา ชั้นที่ ๓ เป็นชั้นนอกสุด เป็นพระเจดีย์องค์ใหญ่ สูง ๓๓ วา เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ส่วนของซุ้มประตูชั้นล่างขององค์พระธาตุด้านทิศใต้ ได้พังทลายลงมา ทางกรมศิลปากรจึงได้ทำการบูรณะจนแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๔๑ พร้อมทั้งได้ทำการเสริมคานคอนกรีตภายใน เพื่อป้องกันองค์พระธาตุไม่ให้พังทลายลงมา วัดพระธาตุท่าอุเทน ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ และกำหนดขอบเขตโบราณราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๑๕ ตอนพิเศษ ๔ ง หน้า ๒ ลงวันที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๑ มีพื้นที่ประมาณ ๒ ไร่ ๓ งาน กับ ๘๙.๔๘ ตารางวา....ต่อไปก็ขอเชิญชมรูปภาพวัดพระธาตุท่าอุเทนจ๊ะ


แผ่นกระดานจารึกบทสวดบูชาพระธาตุท่าอุเทน
บริเวณที่เดินเวียนเทียนรอบพระธาตุเจดีย์

ซุ้มประตูเข้าวัดและซุ้มประตูด้านในบริเวณพระธาตุเจดีย์
ซุ้มประตูด้านนอกตกแต่งลายงดงาม
ซุ้มประตูเข้าและองค์พระธาตุเจดีย์




 สำหรับการไปนมัสการพระธาตุอุเทนก็จบเพียงแค่นี้  คราวหน้าก็จะพาท่านไปชมความงามของพระธาตุพนม รอพบกันตอนต่อไปนะคะ

 -------------------------------------------------------------------------------------------------------------








































วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555

ชมและนมัสการพระธาตุนคร จ.นครพนม

สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน

ขอเล่าต่อจากคราวที่แล้วเลยนะคะ เพื่อไม่ให้เสียเวลา....ในที่สุดเราก็ได้เดินทางมาถึงจังหวัดนครพนมเป็นเวลาค่ำจนได้ เพราะมาเสียเวลารถติดตอนจะเข้าเมือง  พอมาถึงในตัวจังหวัด เราก็ตื่นเต้นอยากจะเห็นสิ่งแรกคือพระธาตุพนม และสิ่งที่สองที่อยากจะเห็นวิวแม่น้ำโขงยามค่ำ คนขับรถบอกว่าพระธาตุพนมต้องไว้วันพรุ่งนี้ถึงจะได้ชม เพราะไม่ได้อยู่ในตัวเมือง ต้องออกไปอีกไกล ส่วนแม่น้ำโขงนั้นไปชมได้เลย  ว่าแล้วเขาก็พาเราไปชมวิวแม่น้ำโขงกันก่อน  ก็ได้เดินเล่นกินลมชมแสงไฟริมแม่น้ำโขง รู้สึกเงียบจัง ตลาดอินโดจีนที่อยู่ตรงหน้าแม่น้ำโขงก็ปิด มีผู้คนเดินเล่นกันบ้างไม่มากนัก ลมพัดอ่อน ๆ เย็นสบาย ได้คลายเส้นสายสักหน่อยก็ยังดี  จากนั้นก็ต้องรีบไปหาโรงแรมที่พักกันก่อน  เพราะว่ายังไม่ได้จองไว้ โรงแรมที่นครพนมหาไม่ยากนัก ส่วนมากจะว่าง เพราะไม่ใช่แหล่งนักท่องเที่ยวต่างชาติ โรงแรมใหม่ ๆ ทันสมัยมีห้องว่างเยอะ ราคาไม่แพง เราได้เปิดห้องให้คนขับรถนอนอีกหนึ่งคืน เขาดีใจมากที่เราได้เปิดห้องให้เขาได้นอนหลับสบาย ๆ เขากล่าวขอบคุณแล้วขอบคุณอีก เขาบอกว่า ตั้งแต่ทำงานด้านนี้มาก็ร่วม ๑๓ ปีแล้ว ยังไม่มีแขกคนไหนเปิดโรงแรมให้นอนเลย  ต้องนอนในรถ บางครั้งหนาวตอนดึกอากาศหนาวทั้งในรถและนอกรถ ทำให้นอนไม่หลับ วันรุ่งขึ้นก็ไม่มีแรงขับรถ ฉันก็เลยบอกไปว่า "ที่เราเปิดห้องให้นอนก็เพราะว่าอยากจะให้นอนหลับให้สบาย วันรุ่งขึ้นจะได้มีแรงขับรถให้พวกเราได้ไปทำบุญอย่างเต็มที่" จากนั้นเขาก็ขอตัวหลบไปสักครู่แล้วก็มาเล่าให้ฟังว่า เมื่อกี้นี้ผมโทรไปเล่าให้ภรรยาฟัง ว่า คืนนี้คุณพี่เปิดห้องนอนให้นอนอย่างหรู่หราให้นอน  ภรรยาก็ตื่นเต้นไปด้วย" พวกเราก็ได้แต่ยิ้มแบบขำ ๆ กัน เย็นนี้เราก็ได้ออกไปเที่ยวหาร้านอาหารอร่อย ๆ เราไม่ทราบว่าร้านไหนอร่อย  น้องสาวฉันแนะนำว่า ต้องสังเกตจากจำนวนรถที่จอดอยู่ด้านหน้าร้าน  มีอยู่ร้านหนึ่งเห็นมีรถจอดเต็มไปหมด เราก็ตกลงปลงใจที่จะรับประทานอาหารที่นั่น ร้านชื่ออะไรก็จำไม่ได้แล้ว สนใจรสชาดอาหารมากกว่าชื่อร้าน พอเข้าไปในร้านก็เห็นคนนั่งเต็มไปหมด แต่เราก็โชคดีที่มีโต๊ะว่าง  ไม่ถึงกับต้องยืนรอ อาหารที่นั่นออกช้าหน่อยแต่อร่อยมากคนขับรถก็ได้รับเกียรติให้ร่วมโต๊ะรับประทานด้วยกันกับพวกเรา รู้สึกว่าเขาจะเขิน ๆ หน่อย ฉันก็เลยบอกว่าไม่ต้องอายน่ะ พวกเรามาด้วยกันก็กินด้วยกันได้  ไม่มีการแบ่งแยกชั้นวรรณะ เขาก็เข้าใจและกล่าวว่า "ขอบคุณครับ" ถึงกระนั้นเขาก็ไม่กล้าที่จะรับประทานอะไรมากนัก อ้างว่ากินมากแล้วทั้ง ๆ ที่กินไม่มาก

วันเสาร์ที่ ๑๐ มีนา วันนี้เราก็ตื่นแต่เช้าเช่นเคย เพราะตื่นเต้นที่จะได้ไปชมในตัวเมืองนครพนม คนขับรถพาชมเมือง แล้วก็พาไปชมแม่น้ำโขงในยามเช้า  ที่หน้าแม่น้ำโขงมีวัดหลายวัดอยู่เรียงรายแทบติด ๆ กัน ล้วนแต่เป็นวัดสวย ๆ ทั้งนั้น  มีวัดหนึ่งที่ใกล้ ๆ ที่เราจอดรถ ชื่อวัดมหาธาตุ  เราก็ได้เข้าไปนมัสการพระธาตุนครที่วัดพระธาตุ ที่วัดนี้มีพระธาตุเจดีย์สวยงามมาก อากาศเช้านั้นเย็นสบายมีลมพัดมาอ่อน ๆจนบางครั้งก็รู้สึกหนาวกาย  เช้านี้ตลาดอินโดจีนเปิด มีผู้คนเริ่มทยอยกันมาซื้อของ ที่นั่นมีของขายสารพัดอย่าง แต่เราไม่ได้แวะเข้าไปชมหรอก เพราะมีเวลาน้อย ต้องรีบไปนมัสการพระธาตุพนม  จากนั้นคนขับรถก็พาเข้าไปแวะจอดรถที่หน้าตลาดสด แล้วเขาก็หายตัวไปไหนไม่ทราบ สักประมาณ ๑๐ นาทีก็กลับมาพร้อมกับห่อของกิน ๑ ห่อ  เขาเปิดห่อให้ดู แล้วถามพวกเราว่า "รู้จักข้าวเหนียวปิ้งมั้ยครับ" พวกเราก็หัวเราะกันเพราะขำมาก ที่เขาแอบไปซื้อข้าวเหนียวปิ้งไม่บอกให้รู้บ้าง  น้องสาวตอบว่า "ทำไมลุงไม่บอกกันบ้างล่ะ ว่าจะไปซื้อข้าวเหนียวปิ้ง จะได้ไปซื้อด้วย ของชอบของพวกเราล่ะ ทำไมจะไม่รู้จัก เพราะแม่ทำให้กินบ่อย ๆ " ว่าแล้วคนขับรถก็เชิญชวนพวกเราให้ชิมข้าวเหนียวปิ้ง คนลาวเขาเรียก "ข้าวเหนียวจี่" ลองชิมแล้วผิดหวัง เพราะไม่ใช่ข้าวเหนียวจี่แบบสมัยก่อน กลายเป็นข้าวเหนียวทอดทาไข่หรือเคลือบไข่ แต่ก็กินแก้หิวได้เหมือนกัน.... จากนั้นเราก็มุ่งหน้าไปยังอำเภอท่าอุเทน
แต่ก่อนอื่น ก็ขอเชิญชมรูปภาพวัดมหาธาตุและพระธาตุนคร วัดคู่บ้านคู่เมืองของชาวนครพนมแห่งหนึ่งก่อนนะคะ  แล้วค่อยติดตามตอนต่อไป

พระธาตุนคร(พระธาตุประจำวันของคนเกิดวันเสาร์)
วัดมหาธาตุ
มุมอีกด้านหนึ่งของวัดมหาธาตุ

ป้ายแสดงสุดเขตแดนไทย

วิวแม่น้ำโขงตอนเช้าฝั่งไทย
พระธาตุนคร เป็นพระธาตุประจำวันเกิดของคนเกิดวันเสาร์ คาถาสำหรับสวดเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเองคือ "โส มา ระ กะ ริ กา โธ" สวดบูชาพระธาตุวันละ ๑๐ จบ ชื่อว่า "คาถาพระนารายณ์ถอดจักร" ใช้ในทางถอดคุณไสยศาสตร์ ประจำอยู่ที่ทิศหรดีหรือทิศตะวันตกเฉียงใต้...พระธาตุนครประดิษฐานอยู่ที่วัดมหาธาตุ ถนนสุนทรวิจิตร อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม วัดนี้เป็นวัดประจำเมือง เป็นที่ใช้ในการประกอบพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาของข้าราชการเมืองนครพนมมาโดยตลอด....พระธาตุนครมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส กว้างด้านละ ๕.๘๕ เมตร สูง ๒๕ เมตร ก่อสร้างเสร็จในเดือนเพ็ญของปี ๒๔๖๕ มีรูปแบบคล้ายพระธาตุพนมองค์เดิม ภายในบรรจุพระอรหันต์สารีริกธาตุ พร้อมกับองค์พระพุทธรูปทองคำ และของมีค่าต่าง ๆ ที่ผู้มีจิตศรัทธาได้นำมาถวาย เพื่อบรรจุไว้ในองค์พระธาตุ เชื่อกันว่าผู้ใดมีโอกาสได้ไปนมัสการพระธาตุองค์นี้แล้ว จะได้รับอานิสงส์ส่งเสริมบุญบารมี....สิ่งของสำหรับบูชาพระธาตุ ได้แก่ ข้าวตอก น้ำอบ ข้าวเหนียวปิ้ง ธูป ๑๐ ดอก เทียน ๒ เล่ม

ขอเชิญติดตามตอนต่อไปนะคะ.....ตอนไปนมัสการพระธาตุท่าอุเทนและพระธาตุพนม




















วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2555

ชมและนมัสการพระธาตุเชิงชุม จ.สกลนคร

สวัสดีค่ะ  ท่านผู้อ่านทุกท่าน


หวังว่าท่านผู้อ่านทุกท่านคงสบายดีนะคะ  นี่ก็ใกล้เทศกาลงานสงกรานต์หรือปีใหม่ของไทย  และเป็นวันครอบครัวด้วย  ท่านที่อยู่ต่างจังหวัดก็คงจะต้องไปร่วมทำบุญตักบาตร,สรงน้ำพระและรดน้ำอวยพรให้แก่ผู้ใหญ่ผู้มีพระคุณตามประเพณีอันดีงามของไทยสืบต่อกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราญ ฉันก็คงไม่มีโอกาสเช่นนั้นหรอก เพราะเพิ่งกลับจากท่องเที่ยวแสวงบุญเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง แต่เราก็ทำสงกรานต์ในครอบครัวเป็นประจำทุกปี  คือทำแบบง่าย ๆ ไม่ต้องไปทำบุญที่วัด เพราะบุญคือการทำความดี บุญอยู่ที่ใจ ๆ ที่สงบจากอกุศล  เราสวดมนต์ร่วมกันทั้งครอบครัว เสร็จแล้วก็มีการสรงน้ำพระพุทธรูปที่เราบูชาไว้ในบ้าน แค่นี้จิตใจก็เบิกบานแล้ว  ถ้าท่านไม่มีเวลาที่จะไปวัดหรือไม่สะดวกด้วยเหตุผลหลายประการ จะปฏิบัติอย่างที่กล่าวมาแล้วก็ไม่ผิดจ๊ะ


เกริ่นมาซะยาวเหยียดเลยน่ะ  เพื่อไม่ให้ท่านผู้อ่านรำคาญมากกว่านี้  ฉันก็จะขอเล่าเรื่องการไปแสวงบุญต่อดีกว่า.....หลังจากที่เราได้แวะชมวัดหลวงปู่โตและได้รับประทานก๋วยเตี๋ยวราดหน้าชาววังอิ่มแล้ว ก็ออกเดินทางต่อ จุดมุ่งหมายปลายทางก็คือ จะต้องถึงจังหวัดนครพนมก่อนเวลาค่ำ  เส้นทางสายนี้จะต้องข้ามเทือกเขาภูพานซึ่งสูงพอสมควร  ทางคดเคี้ยงเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาแทบตลอดเวลา บางครั้งก็เล่นเอาโสตอื้อซื่อบื่อไปเลย บนเทือกเขาภูพานก็มีต้นไม้เขียวสดงดงามน่าดูเหมือนกัน ก็สวยไปอีกแบบ ถนนก็ดูมีคุณภาพดีพอสมควร  การขับรถของคนไทยรู้สึกจะมีมารยาทในการแซง มีส่วนน้อยที่ขับรีบร้อนมาก แซงดะแล้วก็ชนดะก็มี กว่าจะข้ามเทือกเขาภูพานได้ ก็รู้สึกเวียนศีรษะนิด ๆ และเมื่อยเอวหน่อย ๆ เพราะว่าต้องเอนตัวไปตามรถอยู่ตลอดเวลา บ้างก็เอนมาก บ้างก็เอนน้อย โอ้ย..เมื่อยไปหมดทั้งตัว พอก่อนจะสุดทางลงภูเขา ได้เกิดปรากฏการณ์อัศจรรย์ ฝนตกอย่างแรงแบบไม่มีการเตือนให้ทราบล่วงหน้า อยู่ ๆ ก็เหมือนน้ำเทสาดลงมาจากเบื้องบน แต่ตกแค่ชั่วขณะเท่านั้น  ทำให้อากาศภายนอกดูเย็นสบาย  คนขับรถบอกว่าฝนไม่ตกภาคอีสานมาเป็นเวลานานแล้ว เพิ่งตกวันนี้เป็นครั้งแรก นึกอยู่ในใจเราก็โชคดีมาเจออากาศไม่ร้อนมาก.....หลังจากพ้นเทือกเขามาเรียบร้อยแล้ว รถแล่นประมาณชั่วโมงเศษ ๆ  ก็ถึงจังหวัดสกลนคร  คนขับรถบอกว่า ที่นี่มีวัดพระธาตุที่มีชื่อและสวยงามมาก  เราควรไปแวะนมัสการพระธาตุที่วัดนี้ก่อน  รายการนี้ก็นอกโปรแกรมที่เรากำหนดไว้  แต่ก็เป็นผลพลอยได้ เพราะเราจะต้องไปนมัสการพระธาตุ ให้ได้ครบถึง ๔ แห่ง ก็นับเอาวัดนี้เป็นวัดแรก.....พอเรามาถึงวัดฝนก็ตกอีกครั้งหนึ่งอย่างหนัก แต่ก็เพียงชั่วครู่แล้วก็หยุด ทำให้อากาศเย็นสบาย เรามาถึงวัดประมาณ ๕ โมงเย็นเศษ ๆ รู้สึกว่าบรรยากาศจะครึ้ม ๆ หน่อย เร่งรีบทำเวลาเพื่อที่จะไปให้ถึงนครพนมก่อนค่ำ เลยไม่ได้ชมวัดโดยทั่ว ได้แค่เพียงนมัสการพระประธาน,นมัสการพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุเจดีย์เชิงชุม

วัดนี้มีชื่อว่า "วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร" ตั้งอยู่ริมหนองหาร ในเขตเทศบาลสกลนคร เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุสำคัญคือ พระธาตุเชิงชุม ซึ่งหมายถึงสถานที่ชุมนุมของพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์  พระธาตุเชิงชุม ประดิษฐานอยู่บนเนินสูง ตั้งหันหน้าไปทางหนองหารที่อยู่ทางทิศตะวันออก เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน รูปทรงสี่เหลี่ยมสูง ๒๔ เมตรเศษ ฐานเป็นลักษณะรูปสี่เหลี่ยม ส่วนบนเป็นทรงบัวเหลี่ยมไม่มีลวดลายประดับ ที่ฐานเจดีย์มีซุ้มประตูทั้ง ๔ ด้าน ซุ้มยอดประตูมีลักษณะเป็นยอดปราสาท  ภายในพระวิหารประดิษฐาน "หลวงพ่อพระองค์แสน" เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะเชียงแสน เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวสกลนคร....ที่วัดนี้มี "บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์" เป็นบ่อน้ำที่มีมาพร้อมองค์พระธาตุเชิงชุม เดิมมีน้ำพุพุ่งขึ้นมา เนื่องจากเป็นปลายของลำน้ำใต้ดิน ซึ่งไหลมาจากเทือกเขาภูพาน ได้ไหลผ่านศูนย์ราชการด้านทิศเหนือ ผ่านใจกลางเมือง แล้วไหลมาผุดที่นี่ เรียกว่า "ภูน้ำซอด" หรือ "ภูน้ำลอด" แล้วไหลผ่านไปที่สระพังทอง ในสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ซึ่งอยู่ติดกับวัด


ตำนานเกี่ยวกับวัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอานนท์  ได้เสด็จจากพระวิหารเชตวัน เสด็จตามลำแม่น้ำโขง ซึ่งได้ทรงประทับพระบาทไว้หลายแห่งในแถบนี้ เช่น พระพุทธบาทบัวบก พระพุทธบาทโขงนาเพล พระพุทธบาทเวินปลา ภูกำพร้า ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระธาตุพนม พระพุทธบาทที่พูน้ำลอดเชิงชุม และพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ คือ พระพุทธเจ้ากกุสันโธ, พระพุทธเจ้าโกนาคมโน, พระพุทธเจ้ากัสสโป,พระพุทธเจ้าโคตม....เมื่อพระเจ้าสุวรรณภิงคาระ ได้ทรงทราบข่าว การเสด็จของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระอานนท์ จึงได้ออกไปต้อนรับพร้อมกับพระนางนารายณ์เจงเวงราชเทวี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมีพุทธประสงค์ ให้พระเจ้าสุวรรณภิงคาระทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น จึงได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์ บันดาลให้มีดวงมณีรัตน์มีรัศมีพุ่งออกจากพระโอษฐ์พร้อมกัน ๓ ดวง เมื่อพระเจ้าสุวรรณภิงคาระได้เห็นความอัศจรรย์เช่นนั้น จึงทรงมีความศรัทธาเลื่อมใส และได้เปล่งวาจาสาธุการด้วยความปีติ....พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสว่า "ณ ที่นี้เป็นสถานที่อันอุดมประเสริฐที่พระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ จะได้มาประชุมรอยพระพุทธบาทไว้ เพื่อเป็นที่สักการะบูชาแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย" พระเจ้าสุวรรณภิงคาระได้บังเกิดความปีติโสมนัสยิ่ง จึงได้ถอดมงกุฎของพระองค์สวมบูชารอยพระพุทธบาท แล้วได้สร้างเจดีย์ครอบไว้ จึงได้ชื่อว่า "พระธาตุเชิงชุม" ตามพงศาวดารลาว ในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช แห่งกรุงศรีสัตนาคนหุต ล้านช้าง เรียกพระธาตุเชิงชุมว่า "พระธาตุหนองหาร"                                     



ความงามอีกมุมหนึ่งของพระธาตุเจดีย์
พระอุโบสถวัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร

ความงามอีกมุมหนึ่งของวัด
บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์

ด้านหน้าของวัดพระธาตุเชิงชุม






สำหรับบันทึกการท่องเที่ยวและแสวงบุญตอนที่ ๒ นี้ก็ขอยุติไว้เพียงแค่นี้ก่อนจ๊ะ
                                                                                         
                                                                                                (โปรดติดตามตอนต่อไป)








































วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555

ชมวัดหลวงปู่โต อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา

สวัสดีค่ะ  ท่านผู้อ่านที่คิดถึงทุกท่าน

คราวนี้หายไปนานจริง ๆ เพราะช่วงกลางเดือนกุมภา มัวแต่เสวยอกุศลวิบาก ไม่สบายด้วยไข้หวัดติดเชื้อแบคทีเรีย ต้องรักษาตัวอยู่สองสัปดาห์ แต่ก็ยังไม่หายดีนัก พอดีกับเป็นโอกาสที่จะต้องไปเที่ยวและแสวงบุญตามที่ครูบาอาจารย์ได้สั่งไว้ตั้งแต่ต้นปี ว่าปีนี้ต้องไปนมัสการพระธาตุให้ครบถึง ๔ แห่ง เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและครอบครัว พอเดินทางจริง ๆ  ร่างกายก็แข็งแรงดีอย่างไม่น่าเชื่อ

ฉันและสามีได้เดินทางด้วยเครื่องบินสายการบินไทย เมื่อวันพุทที่ ๗ มีนา ใช้เวลาบิน ๑๐ ชั่วโมง ตลอดเวลาสิบชั่วโมงก็หลับบ้าง  เดินเล่นบ้างเป็นการยืดเส้นยืดสายแล้วก็ไปหลับต่อ พอตื่นมาก็แก้เซ็งด้วยการดูภาพยนต์ไทยบ้างฝรั่งบ้าง  ก็ทำกิจกรรมวนเวียนกันเช่นนี้ จนในที่สุดเวลาสิบชัวโมงก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วได้เหมือนกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันไปขอน้ำแอร์ฯ ดื่ม แล้วก็ยืนดื่มอยู่ตรงท้ายเครื่อง ตรงที่พวกแอร์ฯ เขาทำงานกัน มีแอร์ฯ สาวน้อยคนหนึ่ง เธอถามฉันว่า "คุณป้าจะไปไหน เมื่อลงเครื่องแล้ว" ฉันตอบว่า "ป้าจะไปนมัสการพระธาตุพนม" เธอถามต่อ "จริง ๆ เหรอค่ะ" "ก็จริง  ๆ จะพูดเล่นทำไมกัน" เธอพูดแล้วก็หัวเราะ คงจะขำมากและคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ "คุณป้า..นครพนมไม่ใช่ใกล้ ๆ นะคะ นั่งรถประมาณ ๑๐ ชั่วโมงน่ะ ตายนะป้า" ฉันก็ขำเหมือนกันว่าวันรุ่งขึ้นเราจะต้องนั่งรถไปนครพนมอีกตั้ง ๑๐ ชั่วโมง เพราะระยะทางจากกรุงเทพฯ ถึงนครพนมประมาณ ๗๔๐ กม. แต่เราก็ได้จัดโปรแกรมไว้เรียบร้อยแล้ว ก็ต้องดำเนินการตามโปรแกรมที่กำหนดไว้  ไม่ช้าก็คงรู้เองว่าจะไหวหรือไม่ !!

วันพฤหัสบดีที่ ๘ มีนา เครื่องบินถึงสนามบินสุวรรณภูมิเวลา ๐๖.๐๐น. กว่าจะรับกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยก็ใช้เวลาประมาณ ๓๐ นาที  หลังจากนั้นก็ไปรอพบน้องสาวอีกราว ๆ ๒๐ นาที เขาก็มากับลูกชาย เขาก็พาเราไปพักที่คอนโดฯ ในกรุงเทพฯ  ได้พักผ่อนชั่วโมงกว่า ๆ แล้วก็เริ่มทำกิจกรรมตามโปรแกรมทันที  เริ่มแรกต้องไปเติมกำลังให้ร่างกายก่อน  เราก็ไปรับประทานอาหารที่ศูนย์การค้า Terminal 21 ที่นั่นมีอาหารมากมายสารพัด เลือกสั่งทำสด ๆ ร้อน ๆ ทันใจไม่ต้องรอนาน ราคาก็ไม่แพงนัก ที่นั่งก็สะดวกสบายดี....หลังจากนั้นเราก็ตั้งใจว่าจะไปนมัสการพระแก้วมรกต แต่พอไปถึงจริง ๆ ก็ผิดหวังอย่างแรง เพราะเจ้าฟ้าชาย (พระบรมโอรสาธิราช) จะเสด็จเปลี่ยนเครื่องทรงฤดูร้อนแด่พระแก้วมรกต ทางเจ้าหน้าที่เขาปิดประตูห้ามคนนอกเข้า คนในก็ต้องรีบออกกันแทบไม่ทัน เป็นอันว่าโปรแกรมนี้ยังไม่ประสบความสำเร็จ  เราก็ดำเนินโปรแกรมต่อไป  ไปชมวัดแขกที่สีลม ไปไหว้พระศิวะ,พระแม่มหาอุมาเทวี,พระพิฆเนตร และเทพเจ้าอีกหลายองค์ ได้ถวายผลไม้แด่พระศิวะ และได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการตกแต่งวิมานต่าง ๆ ของเทพเจ้าแต่ละองค์ ซึ่งมีความวิจิตรพิสดารแตกต่างกัน เพื่อที่จะได้นำมาใช้ตกแต่งเพิ่มเติมและแก้ไขบางอย่าง และปรับปรุงให้ถูกต้องแก่วัดฮินดู ที่กำลังก่อสร้างอยู่ขณะนี้ในประเทศสวิตเซอร์ซึ่งสามีเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างอยู่ ไปวัดแขกก็ได้ประโยชน์และได้บุญด้วย ในการไปชมวัดฮินดูที่สีลมครั้งนี้ ที่นั่นคึกคักไปแพ้วัดพุทธ มีคนศรัทธามาก  มีทั้งคนไทยคนจีนไปขอพรจากเทพเจ้าต่าง ๆ ตามความเลื่อมใสศรัทธา วันนี้ก็ผ่านไปด้วยดีไม่มีปัญหาสุขภาพเรื่องปรับเวลา  ถึงเวลาหลับก็หลับตามเวลาของไทย แต่ไปตื่นตีสามก็เป็นเวลาสามทุ่มของสวิตฯ รู้สึกจะจะแย่หน่อยเพราะจิตไม่ยอมเข้าภวังค์อีก ก็ต้องนอนคุยกันสองคนจนเผลอหลับไปเอง ตื่นเช้าก็ราว ๆ ๖ นาฬิกา ก็เตรียมตัวออกเดินทางไปจังหวัดนครพนม

วันศุกร์ที่ ๙ มีนา เดินทางโดยรถตู้ขนาดที่นั่ง ๑๐ คน แต่เราไปกันแค่ ๓ คน รวมกับคนขับรถเป็น ๔ คนที่ต้องเช่ารถตู้ เพราะว่านั่งสะดวกสบายดี เผื่อจะได้นอนเหยียดแข้งเหยียดขาได้เต็มที่ แต่ปรากฏว่าพอไปจริง ๆ ก็ไม่มีเวลาที่จะมานอนเหยียดแข้งเหยียดขาสบาย ๆ อย่างที่คิดหรอกนะ จิตมันตื่นตลอดเวลา บางครั้งก็สวดมนต์ เพื่อให้การเดินทางผ่านไปด้วยดีไม่มีอุปสรรค ก็เลยไม่ค่อยได้หลับ และอีกอย่างหนึ่งเส้นทางสายนี้เรายังไม่เคยรู้จักมาก่อน ก็เลยไม่ยอมหลับเพราะอยากจะชมวิวทิวทัศน์ข้างทางบ้างว่าสวยขนาดไหน......วันนี้ตั้งใจว่าจะออกเดินทางแต่เช้า ๆ คือ ๗ นาฬิกา แต่ต้องรอคนขับรถราวครึ่งชั่วโมงกว่าจะมารับ  เพราะช่วงเช้า ๆ รถแถวปทุมธานีก็ติดไม่แพ้ในกรุงเทพฯ  วันนี้เรามาพักเพื่อรอขึ้นรถที่ปทุมธานี  เดินทางเส้นทางสระบุรี ถึงอำเภอสีคิ้วประมาณเกือบเที่ยงวัน จากถนนมิตรภาพมองเห็นพระวิหารสีขาวสง่างามมาก ตั้งอยู่กลางบริเวณทุ่งหญ้าสีเขียวห้อมล้อมด้วยสวนหย่อมหลายประเภทสวยงามสะดุดตา  ฉันจึงบอกคนขับรถให้แวะเข้าชมวัดสักหน่อย เพราะน่าสนใจมาก ๆ เลย  คนขับรถบอกว่า "สถานที่นี้คือวัดหลวงปู่โต สร้างโดยสรพงศ์ ชาตรี อดีตพระเอกหนังชื่อดัง ที่นี่มีก๋วยเตี๋ยวราดหน้าชาววังอร่อยมาก ใครมาก็ต้องแวะทาน ถือว่าเป็นบุญด้วยที่ได้ทานก๋วยเตี๋ยวราดหน้าของหลวงปู่" ฉันได้แต่นึกอยู่ในใจว่า โชคดีจริง ๆ วันนี้จะได้กินก๋วยเตี๋ยวราดหน้าของโปรด จะสละสิทธิ์ได้ยังไง ไหน ๆ มาถึงวัดหลวงปู่แล้ว ต้องให้ถึงจริง ๆ  จะได้นำไปเล่าให้คนอื่นฟังได้ถูกต้อง เพราะได้ไปสัมผัสมาแล้วด้วยตนเอง  แต่โชคไม่ดีตรงที่ยังไม่ได้พบคุณสรพงศ์ ชาตรีคนสำคัญในการสร้างวัดหลวงปู่โต เผื่อจะได้มีโอกาสอนุโมทนาบุญกับเขาด้วย

มาถึงในบริเวณวัดหลวงปู่โต หรือวัดโนนกุ่ม บางคนก็เรียกว่า "วัดสรพงศ์" ก็แล้วแต่ใครอยากจะเรียก
เราก็ได้เดินชมบริเวณรอบ ๆ นอกก่อน เพราะมีสวนดอกไม้สวย ๆ น่าถ่ายรูปเยอะแยะ เสร็จแล้วก็เข้าไปในพระวิหารหลวงปู่โต มีองค์หลวงปู่โตซึ่งหุ้มด้วยทองเหลืองอร่ามตระการตา เป็นองค์ใหญ่ที่สุดในโลก.....ฉันและน้องสาวได้สวดพระคาถาชินบัญชรถวายหลวงปู่, เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัวด้วย  ส่วนสามีสวดไม่ได้ก็นั่งพนมมืออยู่ข้าง ๆ  เราได้ทำบุญหลายประเภท ได้ร่วมกันถวายผ้าไตรจีวรแด่หลวงปู่ด้วย และถวายสังฆทานแด่พระสงฆ์ ที่นั่นมีตู้รับบริจาคทำบุญหลายประเภทแล้วแต่ศรัทธา สังเกตดูจะเห็นว่า แต่ละตุู้รับบริจาคหรือทำบุญจะมีแต่แบ้งค์สีเขียวเกือบเต็มตู้ทั้งนั้นเลย  เดี๋ยวนี้ไปทำบุญที่วัดไหนก็จะเห็นแต่แบ้งค์ ๒๐ บาททั้งน้าน  ดีจังเลยเพราะคนเงินน้อยก็จะได้มีโอกาสทำบุญกับเขาได้เหมือนกัน ผู้คนหลั่งไหลมาชมและมาทำบุญกันอยู่เรื่อยไม่ขาดสาย เสร็จแล้วก็ต้องไปเจอกันอีกที่โรงทานอีกครั้ง  ถ้ามาวัดหลวงปู่แล้วไม่กินก๋วยเตี๋ยวราดหน้าก็ถือว่ายังมาไม่ถึง  ทำบุญวัดนี้อิ่มทั้งใจทั้งกาย.....ท่านผู้ใดยังไม่เคยไปชมและไปทำบุญวัดหลวงปู่โต ก็ชมรูปภาพไปก่อนนะคะ เมื่อมีโอกาสก็ไปชมของจริงด้วยตนเองก็แล้วกัน.....อย่าลืมร่วมอนุโมทนาบุญด้วยนะคะ หลังจากอ่านและชมรูปภาพจบแล้ว  เพราะบุญจากการอนุโมทนาเป็นบุญที่ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย เป็นบุญที่ได้โดยง่าย ๆ  การอนุโมทนาบุญกับผู้อื่นเป็นบุญประเภทหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ......ต่อไปนี้ก็ขอเชิญชมรูปภาพวัดหลวงปู่โต(สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี) ได้ตามอัธยาศัย และขอเชิญติดตามตอนต่อไปอีกค่ะ


พระวิหารหลวงปู่โตด้านหน้าตอนเวลาเที่ยงวัน

พระวิหารหลวงปู่โตด้านข้าง

องค์หลวงปู่โตใหญ่ที่สุดในโลกประดิษฐานในพระวิหาร
      องค์หลวงปู่โตหุ้มด้วยทองเหลืองอร่ามงดงามเป็นพิเศษ

พระอุโบสถหลวงพ่อพุทธชินราชและหลวงพ่อทันใจ