วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วัดไทยในสวิตเซอร์แลนด์ (วัดธรรมปาละ, Kandersteg)

สวัสดีค่ะ  ท่านผู้อ่านทุกท่าน

วันนี้ก็พบกันอีกเกี่ยวกับเรื่องวัด แต่ว่าไม่ใช่ในเมืองไทย  เป็นวัดไทยในประเทศสวิตเซอร์แลนด์  วัดนี้อยู่บนภูเขาสูงมากเลย มีสิ่งแวดล้อมสวยงามน่าดูไปอีกแบบหนึ่ง แต่ไปลำบากหน่อย.....เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๓ ก.ค. ที่ผ่านมานี้  ฉันพร้อมด้วยสามีและลูกชายได้มีโอกาสไปทำบุญถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ที่วัดธรรมปาละ,Kandersteg....คานเดอร์สเต็กเป็นอำเภอเล็ก ๆ ที่สวยงามน่าเที่ยว เป็นสถานที่ ๆ คนส่วนมากชอบไปเดินออกกำลังกาย หรือไปไต่เขากัน  สำหรับฉัน...เรื่องเสี่ยงตายอย่างเช่นไต่เขานี้ ไม่ขอร่วมกิจกรรมด้วย  เพราะว่าไม่ใช่เป็นการสร้างกุศลเลย  สู้ไปทำบุญและฟังเทศน์ฟังธรรมจะได้ประโยชน์กว่า....วันนี้ก็มีเรื่องตลก ๆ มาเล่าสู่กันฟังอีกจ๊ะ

วัดธรรมปาละ เป็นวัดไทยวัดหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์ เป็นวัดป่า ที่เรียกว่า "วัดป่า" เพราะว่าวัดนี้เป็นวัดหนึ่งในสาขาของวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี  มีหลวงพ่อชา (พระโพธิญาณเถร) เป็นครูบาอาจารย์ที่พระทุกรูปเคารพนับถือมาก  แต่เป็นวัดที่มีพระเป็นชาวต่างชาติทั้งนั้น  คือเป็นพระฝรั่งหมดเลย มีแค่ ๓ รูป  เจ้าอาวาสพูดไทยได้นิดหน่อย ท่านบอกว่าไม่ค่อยได้ใช้ เพราะคนไทยไม่ค่อยไปที่วัดนี้  เนื่องจากการเดินทางไม่สะดวก  วัดนี้มีกฏระเบียบเข้มงวดมาก  นับตั้งแต่การติดต่อกับทางวัด  กำหนดวันและเวลาสำหรับโทรติดต่อได้ตั้งแต่วันพุธ-ศุกร์  เวลา ๙.๐๐ น. - ๑๑.๐๐ น. ไม่เหมือนวัดไทยอื่น ๆ จะโทรตอนไหนก็มีคนรับสายบริการญาติโยมเสมอ....

เมื่อวันพุธที่ผ่านมานี้ ฉันได้โทรติดต่อทางวัด แจ้งความประสงค์ว่า เราจะไปถวายเพลพระสงฆ์  ก็มีแหม่มคนหนึ่งทำหน้าที่รับสาย  พูดภาษาเยอรมัน เธอก็สอบถามว่า "คุณเคยไปที่วัดนี้บ้างหรือยัง" ฉันตอบว่่่่่า "เคยไปครั้งหนึ่งเมื่อ ๑๘ ปีมาแล้ว"  แล้วเธอก็ถามต่ออีกว่า "ต้องการจะมาทำอะไร  ฉันก็บอกว่าจะมาทำบุญถวายอาหารพระ และลูกชายอยากจะสนทนาธรรมกับพระ เขาสนใจศึกษาธรรมะ เผื่อว่าสักวันหนึ่งจะมาบวช  เพื่อศึกษาธรรมที่วัดนี้บ้าง"  คุณแหม่ก็เข้าใจที่ฉันพูด แล้วก็บอกว่า ตอนนี้พระไม่อยู่ ยังตอบไม่ได้ว่าจะให้พวกเรามาทำบุญได้วันไหน.....จะว่าไป เธอก็บริการดีน่ะ เธอบอกว่าวันรุ่งขึ้นจะโทรบอกฉัน ให้ทราบว่าจะไปทำบุญได้ในวันไหน

วันรุ่งขึ้นราว ๆ ๘ โมงเช้า คุณแหม่มรีบโทรแจ้งข่าวให้ฉันทราบว่า  ในวันจันทร์ที่ ๒๓ ก.ค.นี้ พระเจ้าอาวาสอยู่วัด ให้พวกเราไปทำบุญได้  ฉันถามเธอเพื่อความแน่ใจก่อน  ที่วัดมีพระกี่รูป มีคนอยู่ที่วัดกี่คน จะได้เตรียมอาหารไปเผื่อด้วย  เธอตอบว่ามี ๑๐ คน เป็นพวกแขกที่มาปฏิบัติธรรม  ฉันเลยบอกเธอว่า ถ้าคนมากเป็นสิบ ๆ คน ฉันก็คงหอบไม่ไหวหรอก เพราะอยู่ไกล ต้องนั่งรถไฟไปแต่เช้า  ก็ตกลงว่าเราทำเฉพาะพระและเผื่อคนอื่นด้วยนิดหน่อยพอสมควร....พระที่วัดนี้ท่านฉันแต่อาหารมังสะวิรัติเท่านั้น

ในเช้าวันที่ ๒๓ ก.ค. ฉันและน้องสาวได้ตื่นตั้งแต่ตี ๔  เพื่อทำอาหารคาวและของหวานด้วย  ที่ต้องตื่นแต่เช้า  เพราะว่าตื่นเต้นดีใจที่จะได้ไปทำบุญที่วัดป่า  นอนไม่ค่อยหลับทั้งคืน  ก่อนนอนไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุก แต่บอกปู่เทวดาไว้  "ปู่..ช่วยปลุกลูกด้วยน่ะ พรุ่งนี้ตอนตี ๔  ลูกจะตื่นทำกับข้าว"  พอถึงตี ๔ ได้ยินเสียงดัง "ปั้ง" ที่ประตูห้องนอน.....ฉันตกใจตื่นทันทีเพราะรู้ว่าต้องเป็นปู่เทวดามาปลุกแน่ ๆ  เหลือบไปดูนาฬิกาที่ข้างเตียง ก็เป็นเวลาตี ๔ จริง ๆ ด้วย  มองออกนอกหน้าต่างก็ยังมืดอยู่  งั้นขอหลับสักนิด  ฉันพูดในใจกับปู่  "ได้ยินเสียงปลุกแล้วจ๊ะปู่  แต่ลูกขอนอนต่อสัก ๑๕ นาทีนะ เพราะยังง่วงอยู่" รู้สึกว่าปู่ไม่ยอมเด็ดขาด  อยู่ดี ๆ ก็มีอาการปวดเสียวหลังมาก  ฉันเลยต้องรีบลุกทันที อาการปวดหลังก็หายเป็นปลิดทิ้งทันทีเช่นกัน....เทวดาท่านไม่ชอบคนขี้เกียจ  เราก็รู้อยู่  แต่ก็ลองใจท่านดูก่อน เผื่อว่าท่านจะมีการอนุโลมบ้าง  แต่ท่านไม่พูดอะไรเลย เล่นทำโทษกันเฉย

การไปทำบุญครั้งนี้ เป็นการทดสอบความอดทนด้วยนะ  เดินทางไกลและอากาศร้อนมาก  เราเดินทางโดยรถไฟตั้งแต่ ๘ โมงเช้า ต้องไปเปลี่ยนรถไฟอีกขบวนหนึ่ง  แล้วจากนั้นก็ต้องเดินเท้าอีกประมาณ ๑๕ นาที  แต่ว่าตอนขาไปเราตกรถไฟตอนที่จะเปลี่ยนขบวน  ดูซิ...คนบ้านนอกไปบ้านนอกก็ยังหลงได้แถมยังตกรถไฟอีกต่างหาก  ตลกดีจัง....เพราะมัวแต่ไปแวะห้องสุขากัน  ก็เห็นว่ามีเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง เลยแวะดื่มกาแฟและกินอะไรลองท้องสักหน่อย  เสร็จแล้วก็ไปยืนรอรถไฟ  มีขบวนหนึ่งจอดอยู่ข้างหน้าเรา แต่ก็ไม่เอะใจ  รถขบวนใหม่มาถึง เรารีบขึ้นทันที  นั่งไปได้สักครู่เกิดเอะใจ  ขึ้นผิดขบวน เพราะฟังจากที่เขาประกาศ ไม่เห็นมีชื่อ Kandersteg  เลยต้องรีบเผ่นลงรถกันแทบไม่ทัน  แต่โชคเข้าข้าง รถยังไม่รีบไป.....เราเพิ่งจะมารู้ตอนหลังว่า รถขบวนที่จอดอยู่ข้างหน้าเราตอนแรกนั่นแหละถูกต้อง  แต่เราไม่เรียบร้อยกันเอง ไม่ได้เช็คเวลารถอีกครั้ง  และถ้าจะรอขึ้นขบวนใหม่  ก็ต้องรออีก ๑ ชั่วโมง เพราะรถไฟที่นั่นจะแล่นทุก ๆ ชั่วโมง

พระที่วัดธรรมปาละฉันเพลเวลา ๑๑.๓๐ น. ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบ ๑๑ โมงแล้ว ถ้ารอรถไฟก็คงไม่ทันการณ์แน่เลย  จึงยอมเสียเงินค่าแท็กซี่  ก็นั่งนานประมาณ  ๔๕ นาที เพราะมัวไปหลงอีกรอบหนึ่ง ไปถึงเขตวัดแล้ว แต่หาทางเข้าวัดไม่ถูก จึงทำให้เสียเวลา แต่ก็ยังทันเวลาเพล.....พอไปถึงวัด รู้สึกเงียบสงบจริง ๆ ประตูวัดเปิดไว้ แต่ไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้น เรายืนอยู่หน้าประตูวัดสักครู่หนึ่ง  คิดว่าจะมีคนออกมาต้อนรับ  ที่ไหนได้ยืนไปเถอะ ไม่ได้ถวายเพลแน่ ๆ  ไม่มีทางเลือกเลย เราต้องยอมเสียมารยาทเข้าไปในห้องพระ โดยที่เจ้าของบ้านไม่รู้เรื่องเลย  เข้าไปกราบพระ แล้วพากันเที่ยวเดินตามห้องต่าง ๆ  เพื่อหาใครสักคน  ร้อง "ฮัลโหล ๆ " ก็ไม่มีใครออกมาต้อนรับ  ฉันก็เลยบุกถึงในครัว..... ปรากฏว่าคนที่อยู่ในครัวตกใจ  อยู่่ ๆ  ก็มีคนแปลกหน้าโผล่มา  ฉันบอกว่า " แันได้โทรนัดกับคุณไว้ว่า วันนี้จะนำอาหารมาถวายพระ" แหม่มแม่ครัวทำท่างง ๆ  ฉันก็เลยแนะนำตัว "ฉันชื่อนาง......ได้ตกลงทางโทรศัพท์กับคุณ.....ว่าจะมาทำบุญ"  พอเธอได้ยินเช่นนั้น  แล้วฉันว่า  "ฉันลืมไป"  ดูซิ...อย่างนี้ก็มีด้วย  แถมไม่มีการขอโทษกันด้วย  แต่ฉันก็ไม่ต้องการให้เขาขอโทษหรอกนะ  แต่ว่าตามมารยาทก็ควรจะเป็นเช่นนั้นน่ะ  ไม่เป็นไร  ที่สำคัญคือเราได้รับการต้อนรับอย่างเป็นกันเองกับพระเจ้าอาวาส

ท่านเจ้าอาวาสชื่อ "เขมะสิริ" ท่านบอกว่า ท่านก็ทราบว่าพวกเราจะมาทำบุญ แต่ไม่ทราบว่าจะถวายเพล
ท่านได้เชิญให้พวกเรารับประทานอาหารที่วัด  และบอกว่า "เมื่อพระฉันเสร็จแล้ว ค่อยสนทนากันเป็นส่วนตัว"  ระหว่างที่พระท่านฉันอาหาร  เราก็ออกไปชมวัด และเก็บภาพสวย ๆ ไว้มาฝากท่านผู้อ่านด้วยจ๊ะ.....หลังจากที่พระฉันอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว  พวกเราก็รับประทานอาหารต่อ  พระท่านฉันในบาตร
เขาจัดอาหารแบบบุฟเฟ่  ใครจะรับประทานอะไรก็ตักเอาเองตามสบาย  แม่ครัวแหม่มกับพ่อขาวช่วยกันทำอาหารฝรั่ง ส่วนอาหารของเราก็เป็นแบบไทย ๆ  ท่านก็ฉันพอสมควร

พระเจ้าอาวาสเห็นว่าพวกเรารับประทานอาหารเสร็จแล้ว  ท่านก็ออกไปจัดที่นั่งของท่าน ที่หน้าอาคาร  แล้วก็เข้ามาเรียกพวกเรา  ให้ออกไปนั่งคุยกันข้างนอก  บรรยากาศที่นั้นดีมาก แดดจ้าแต่ไม่ร้อน มีลมพัดมาอ่อน ๆ ปะทะกายตลอดเวลา  การสนทนาวันนั้น เป็นไปอย่างราบรื่น เป็นกันเอง รู้สึกอบอุ่นใจ และประทับใจในความเมตตา ที่ท่านสละเวลาพักผ่อนของท่าน มาสนทนากับพวกเรา  มีความรู้สึก
เหมือนกับว่าเคยรู้จักกันมานานแล้ว  ทั้ง ๆ  ที่เราเพิ่งจะเห็นท่านเป็นครั้งแรก  คงจะเคยทำบุญกับท่านมาแต่ชาติปางก่อนแล้วมั้ง...... ส่วนลูกชายก็ได้สนทนาธรรมเป็นส่วนตัวกับท่านด้วย  โดยท่านเปิดโอกาสให้พูดก่อนใคร  ส่วนพ่อแม่ให้พูดทีหลัง  ตอนหลังก็คุยกันสารพัดเรื่อง ก็เป็นธรรมทั้งนั้นแหละ ท่านได้เมตตามอบหนังสือธรรมะ และซีดีธรรมของพระอาจารย์ชื่อดังของไทยหลายท่าน ให้ลูกชายมาศึกษาเผื่อสนใจจะไปฝึกเจริญสมาธิ  ท่านบอกว่าจะไปเมื่อไรก็ได้  ท่านยินดีต้อนรับ.....เราได้สนทนากันประมาณร่วม ๒ ชั่วโมง  ก็พอสมควรแก่เวลา  จึงได้ถวายปัจจัยถวายวัด  แต่ท่านไม่รับปัจจัยเป็นส่วนตัว ท่านบอกว่า "พระไม่รับปัจจัย"  จึงบอกให้เรานำไปใส่ตู้บริจาคเอง  แต่ท่านก็ได้กล่าว  "อนุโมทนาบุญ" กับพวกเราด้วย.....

ตอนขากลับเราก็เดินออกจากวัด เดินเล่น ๆ แวะถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ ก็ไม่รู้สึกเหนื่อยทั้ง ๆ ที่ร้อนมาก ๆ ก็เหมือนไม่ร้อน  เที่ยวกลับนี่โชคดีหน่อยไม่ตกรถ  เปลี่ยนรถแค่ครั้งเดียว.....เอาล่ะ...เรื่องนี้ก็เขียนมายาวพอสมควรแล้ว  ทีนี้เรามาช่วยกันชมภาพวัดธรรมปาละกันหน่อยนะ  ดูชิว่าสวยมากมั้ย  เชิญชมจ๊ะ..... 
พระประธานของวัดธรรมปาละ

พระอาจารย์เขมะสิริ เจ้าอาวาสวัด
พระปางลีลาสง่างามมาก
ป้ายชื่อวัดแบบไทย ๆ
จั่วหน้าประตูเข้าวัด
ประตูเข้าวัดมีเทวดาเฝ้าซ้ายขวา
ทางเข้าวัดมีต้นไม้สองข้างทางเป็นระยะ
ภูเขาสูงด้านข้างวัด มีน้ำตกไหลตลอดปี
ภูเขาใกล้ ๆ วัด ดูดี ๆ มีหน้าตาเหมือนยักษ์
วิวภูเขาสูงหน้าวัด
มีกระเช้าไฟฟ้าบริการ  สำหรับขึ้นไปบนยอดเขา

ได้ชมภาพสวย ๆ ของวัดธรรมปาละแล้ว  อยากไปทำบุญที่นั่นมั้ยคะ  บรรยากาศจริง ๆ สวยกว่านี้หลายเท่าจ๊ะ .........สำหรับบทความนี้ก็จะขอยุติเพียงแค่นี้ล่ะ  แล้วพบกันใหม่นะคะ

                                              
                                               ...................................

















วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วันไหว้ครู ปี พ.ศ.๒๕๕๕

สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน

วันนี้มีเรื่องเล่าซึ่งไม่เกี่ยวกับวัดนะคะ  เปลี่ยนสไตล์ใหม่บ้าง เขียนแต่เรื่องวัด บางท่านก็อาจจะเบื่อก็ได้  งั้นเอาเรื่องเมื่อวานนี้ดีกว่านะ....วันนี้จะไม่ขอเกริ่นอะไรมากมาย  เพราะรู้สึกเพลียจากการเดินทางไปทำบุญที่วัดป่า ไปซะไกลลิบเลยจ๊ะ เอาไว้วันหลังจะนำภาพวิวสวย ๆ มาลงให้ชมกันจ๊ะ 

เมื่อวานนี้ที่สมาคมไทย-กวนอิม, สวิตเซอร์แลนด์ ได้มีการทำพิธีไหว้ครูประจำปี  เราไม่ได้จัดพิธีใหญ่โตหรอกนะ ก็แล้วแต่สมาชิกท่านใดอยากจะมาไหว้ก็มากัน  ตามแต่สะดวก ไม่มีการกำหนดกฎเกณฑ์อะไรทั้งนั้น  ไม่มีการเสียค่าครูบาอาจารย์  อยากไหว้ครูระลึกถึงพระคุณครูบาอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้ นับตั้งแต่ครูท่านแรกสุด คือ มารดาบิดา แล้วก็ครูบาอาจารย์ที่เราได้ร่ำเรียนในโรงเรียนต่าง ๆ  จนกระทั่งถึงครูบาอาจารย์ที่เป็นระดับเทพหรือเทวดา  ต่างคนต่างก็หอบหิ้วดอกไม้ธูปเทียนและพานมาจัดกันเอง  เดินทางมาจากต่างจังหวัด บางคนบอกว่าต้องตื่นเตรียมตัวตั้งแต่ตีสาม  เพราะว่าต้องใช้เวลาเดินทางถึง ๒ ชั่วโมงเศษ ๆ

พอมาถึงที่สมาคมเราก็มีสนทนาเรื่องสัพเพเหระกัน  เพราะว่านานปีทีหนจะได้เจอหน้ากันสักครั้ง
ก็คุยกันพอหอมปากหอมคอ  จากนั้นก็ลงมือจัดพานดอกไม้ธูปเทียนกัน  เสร็จแล้วก็รับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน ปกติทุกปีสมาชิกจะนำอาหารมาด้วย  แต่ปีนี้ฉันบอกว่า ไม่ต้องยุ่งยากเรื่องกิน เราจะกินมังสะวิรัตกัน งดเนื้อสัตว์สักหนึ่งวัน เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา  เป็นอันว่างานนี้ฉันทำอาหารเอง ทำอาหารที่ง่ายมาก ๆ และอร่อยด้วย ก็สปาเก็ตตี้ไง มันง่ายดีและรับประทานได้ทุกคน

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ก็มีการเดินจงกรมย่อยอาหารไปในตัว  เพราะว่าจะต้องมีการนั่งฟังธรรมนานพอสมควร  อาจารย์เทวดาจะมาบรรยายธรรมให้พวกเราฟังทุกครั้งที่มีการไหว้ครู  หรือว่ามีคนมาเยี่ยมสมาคม ไม่ว่าคนไทยหรือคนฝรั่งก็ตาม  เทวดาก็จะสาธยายธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ฟังหมดแหละ.....วันนี้ก็ได้ฟังธรรมเกี่ยวกับเรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน คือ เรื่องรูปธรรมกับนามธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ  ท่านบอกว่า รูปธรรมนี่ไม่รู้อะไร แต่นามธรรมรู้สภาพธรรมที่ปรากฏทางตา  หู จมูก ลิ้น กายและใจ  ถ้าสติไม่เกิดระลึกรู้ว่าเป็นเพียงนามเท่านั้นที่ทำหน้าที่รู้  ก็จะกลายเป็นเราเห็น เราได้ยิน เราได้กลิ่น เรารู้รส  เรารู้กระทบสัมผัสทางกาย และเราคิดนึกเรื่องราวต่าง ๆ  นี่แค่เพียงตัวอย่าง สั้น ๆ ค่ะ ปู่อาจารย์สอนเป็นชั่วโมง คนฟังก็เข้าใจในขณะนั้น จากบางอย่างไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็ได้รู้ได้เข้าใจเพิ่มขึ้นเป็นปัญญา  นับว่าคุ้มกับการเสียเวลาที่มากัน

เมื่อเล่าถึงเรื่องไหว้ครู  ก็เลยจะถือโอกาสเล่าเกี่ยวกับสมาชิกคนไทยกลุ่มหนึ่ง  เขาก็ไหว้ครูทุกปีเหมือนกัน  แต่ทำพิธีโดยผ่านทางโทรศัพท์  เขาจะสวดมนต์ให้อาจารย์เทวดาฟังทางสาย แล้วก็ฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ทางสายเช่นกัน  เปิดขยายเสียงให้ฟังได้ทุกคน.......ปีนี้เมื่อกลางเดือนมีนา ฉันได้มีโอกาสไปเยี่ยมบ้าน จึงได้แวะเยี่ยมสมาชิกด้วย  พวกเขาได้ถือโอกาสทำพิธีไหว้ครูกันในวันนั้น  งานนี้มีคุณยายอายุ ๘๙ ปี เข้าร่วมไหว้ครูและฟังธรรมจากเทวดาด้วยนะ  คุณยายเข้าร่วมพิธีไหว้ครู่กับลูกหลานทุกปีไม่เคยขาดเลย  ปีนี้คุณยายแข็งแรงกว่าปีแรกที่ฉันรู้จักซะอีก ทั้ง ๆ ที่อายุย่างเข้า ๙๐ แล้ว

มีอยู่ตอนหนึ่ง คุณยายนึกตลกยังไงไม่ทราบ ท่านพูดกับเทวดาว่า "ปู่...ฉันอยากจะถูกหวยรางวัลที่ ๑ บ้าง" ปู่หัวเราะฮ่า ฮ่า  "ยายแก่แล้ว ยายจะเอาเงินไปทำอะไร ตายแล้วเอาเงินไปได้มั้ย ตายกับธรรมะดีกว่านะยาย"  คุณยายก็หัวเราะฮิ ฮิ แล้วตอบว่า  "พวกลูก ๆ เขาไม่ให้เงินฉัน"  พอลูก ๆ คุณยายได้ยินคุณแม่ฟ้องปู่เช่นนั้น  ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ไม่จริง ๆ ปู่อย่าไปเชื่อแม่ พวกเราให้เงินแม่ทุกเดือน" คุณยายก็หัวเราะชอบใจที่ทำให้ลูก ๆ สะดุ้งตาม ๆ กัน ท่านคงหยอกลูก ๆ สนุกเล่นเท่านั้นเอง
ที่จริงแล้ว ท่านมีเงินเก็บเหลือใช้ซะอีก.....ท่านปู่อาจารย์ได้บรรยายธรรมให้ทุกคนฟังพอสมควรแก่เวลา จากนั้นก็มีการทดสอบความเข้าใจเป็นรายคน คุณยายโดนถามบ่อยกว่าใคร แต่ก็ตอบเก่งนะ  ตอบได้ถูกต้องหมดเลย ความจำท่านดีมากทีเดียว คนหนุ่มยังแพ้ท่านซะอีก น่าอิจฉามั้ยค่ะ คุณยายเป็นคนมีบุญเพราะสะสมมาดี จึงมีสุขภาพแข็งแรงและอายุยืนด้วย คุณยายชอบฟังธรรมและทำบุญสม่ำเสมอ น่าสรรเสริญนะคะ....เอาล่ะ..ฉันคิดว่าเขียนเล่ามามากแล้ว ไม่รู้จะเขียนอะไรต่อแล้ว ขอจบลงแค่นี้แหละนะ
ท่านผู้อ่านคงไม่บ่นกันนะคะ ว่าอยู่ ๆ ก็จบกันห้วน ๆ ก็ฉันง่วงนอนแล้วนี่.....งั้นก็ขอเชิญชมรูปภาพสวย ๆ ตามอัธยาสัยค่ะ
 



                    
                         ขอขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่านค่ะ......พบกันอีกในเรื่องต่อไปนะคะ


                                           ........................................























วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

นมัสการพระธาตุเจดีย์ลำปางหลวง

สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน

วันนี้ที่สวิสเซอร์แลนด์อากาศดี มีฝนตกเกือบทั้งวัน ต้นไม้ต้นหญ้าพากันสดชื่นตาม ๆ กัน มนุษย์ก็เช่นกันจ๊ะ  ถ้าฝนไม่ตกสักหนึ่งสัปดาห์รู้สึกแย่ตาม ๆ กัน  ยิ่งอาศัยอยู่บนพื้นที่สูง ๆ  จะรู้สึกร้อนมาก ๆ ทีเดียว นี่ก็เป็นวิบากที่ไม่สามารถเลี่ยงได้เลย  คงจะเคยเป็นคนภูเขามาก่อน เลยต้องมาอยู่บนภูเขา แต่ก็ไม่ถึงกับสูงจนเดินไม่ไหวหรอกนะ....เอาล่ะ เพื่อไม่ให้เสียเวลา ต่อไปนี้ก็ขอเข้าสู่เรื่องตามที่ตั้งใจจะเสนอท่านผู้อ่านซะที......วันนี้ก็จะขอเชิญท่านชมความแปลกแต่จริงของพระธาตุหัวกลับ

เมื่อวันที่  ๑๔ มีนาคม ศกนี้ ฉันและสามีได้มีโอกาสไปนมัสการพระธาตุลำปางหลวง ต.ลำปางหลวง อ.เกาะคา จ.ลำปาง โดยน้องสาวและน้องเขยแนะนำว่า ที่ลำปางมีวัดพระธาตุหัวกลับ เกิดมาก็เพิ่งจะได้ยิน ทีแรกที่ได้ยิน จิตคิดปรุงแต่งไปซะไกล คิดว่าคงจะเป็นองค์พระธาตุที่เขาสร้างขึ้นแบบหัวกลับลงดิน
ที่ไหนได้เป็นเพียงเงาสะท้อนจากแสงพระอาทิตย์มากระทบกับองค์พระธาตุ แต่ก็ใช่ว่าจะเห็นภาพพระธาตุหัวกลับนี้ได้ทุกเวลาตามต้องการนะ  เพราะต้องอาศัยแสงจากดวงอาทิตย์จึงจะเห็นเงาขององค์พระธาตุได้

พวกเราก็ได้เข้าไปนมัสการบูชาพระธาตุ  แต่่ไม่ได้มีโอกาสแวะเข้าไปในวิหารพระพุทธ เพื่อส่องดูเงาพระธาตุที่รอดผ่านรูผนังมาปรากฏบนผืนผ้าภายในวิหารนั้น  เพราะว่าช่วงนั้นอยู่ระหว่างการบูรณะวัด เขาไม่อนุญาตให้เข้าไปในโบสถ์และวิหาร ก็ได้แต่เวียนเทียนรอบพระธาตุเจดีย์เท่านั้น อย่างไรก็ตามไปวัดนี้ไม่เสียเที่ยว  เราก็ได้ชมความงามขององค์พระธาตุ ซึ่งเป็นศิลปะแบบล้านนาผสมเจดีย์ทรงลังกา ก่ออิฐถือปูน ประกอบด้วยฐานสี่เหลี่ยม ย่อมุมด้วยบัวมาลัยสามชั้น เป็นเจดีย์ขนาดใหญ่หุ้มด้วยแผ่นทองเหลือง ฉลุลายหรือที่เรียกว่า "ทองจังโก้"  ตามตำนานกล่าวว่าข้างในพระธาตุเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ


วัดพระธาตุลำปางหลวง เป็นวัดที่สวยงามมากและเป็นวัดที่มีชื่อเสียงวัดหนึ่งของเมืองลำปาง  ฉันก็มีรูปสวย ๆ มาฝากท่านผู้อ่านด้วยนะคะ......เชิญชมได้เลยจ๊ะ




ถ้าท่านอยากจะชมมากกว่านี้ก็ต้องไปที่ลำปางจ๊ะ คิดว่าเขาคงจะบูรณะเสร็จเรียบร้อยแล้ว.....สำหรับบทความนี้ก็ขอจบเพียงแค่นี้จ๊ะ  ไว้พบกันอีกในบทความใหม่นะคะ

                                           ......................................



























วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ชมวัดร่องขุน จ.เชียงราย

สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน

วันนี้ฉันก็จะขอพาท่านผู้อ่านไปชมวัดร่องขุน จ.เชียงราย  ซึ่งเป็นวัดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ที่มีความวิจิตรพิสดารไม่เหมือนใคร  วัดนี้มีนักท่องเที่ยวเยอะมาก ๆ  ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ  ใคร ๆ ก็อยากจะไปชมและทำบุญกับวัดนี้  ฉันเองก็เพิ่งจะได้ไปทำบุญและได้ชมความสวยงามของวัดร่องขุน

เมื่อวันอังคารที่ ๑๓ มีนาคม ศกนี้ น้องสาวและน้องเขยของฉัน ได้พาฉันและสามีไปชมวัดร่องขุน ฉันเคยอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับวัดร่องขุนมานานแล้ว เห็นรูปสิ่งก่อสร้างวิจิตรพิสดารมาก จึงเกิดความศรัทธาอยากจะไปทำบุญและชมวัดนี้ให้ได้ จนกระทั่งปีนี้ได้มีโอกาสมาเยี่ยมบ้านที่เมืองไทย และได้ไปนมัสการพระธาตุเจดีย์หลายแห่งใน ๔ ภาคของประเทศไทย ตามที่ครูบาอาจารย์ได้แนะนำ ได้ชมความงามของวัดแต่ละแห่งก็จะคล้าย ๆ กัน แต่วัดร่องขุนนี่แม้แต่ชื่อก็สะดุดใจซะแล้ว แปลกดีค่ะ

วัดร่องขุน ตั้งอยู่ที่ ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมือง จ.เชียงราย  เป็นวัดที่มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร มีสถาปัตยกรรมสง่างามแปลกตามาก ๆ  มีลวดลายปูนปั้นประดับกระจกภายนอกสวยเป็นพิเศษ สีขาวสว่างทั้งบริเวณ ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังสวยงามประทับใจมากเลย ซึ่งเขียนโดยฝีมือของจิตรกรชื่อดังแห่งประเทศไทย  ชื่อว่า "คุณเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์" ฉันเคยเห็นฝืมือภาพจิตรกรรมฝาผนังของคุณเฉลิมชัย ครั้งแรกที่วัดพุทธปทีป ประเทศอังกฤษ ก็รู้สึกทึ่งมาก ๆ ในการเขียนจิตรกรรมฝาผนังถวายเป็นพุทธบูชา มาปีนี้ฉันก็ได้มีโอกาสไปชมผลงานครั้งยิ่งใหญ่ของเขาอีกครั้ง ก็คืองานสร้างวัดร่องขุน วัดนี้ก็เป็นวัดที่น่าสนใจมากอีกวัดหนึ่งของประเทศไทย หากท่านผู้ใดยังไม่เคยไปวัดร่องขุน ก็ขอเชิญชมรูปภาพไปก่อนนะคะ มีโอกาสเมื่อไหร่ก็ไปชมกันเองก็แล้้วกัน

พระอุโบสถ์
สะพานขึ้นอุโบสถ์
บริเวณรอบพระอุโบสถ์
สิ่งก่อสร้างที่ยังไม่เสร็จ
อีกมุมหนึ่งของวัด
ชมรูปภาพวัดร่องขุนแล้ว รู้สึกอยากจะไปดูด้วยตนเองมั้ยค่ะ ที่วัดนี้มีห้องน้ำพิเศษกว่าใครทั้งหมด คือทั้งตึกเป็นสีทองอร่ามตกแต่งวิจิตรพิศดารน่าดู เข้าไปใช้บริการแล้วมีความสุข อันนี้ต้องไปสัมผัสกันเองจ๊ะ
......ขอยุติเพียงแค่นี้ก่อนล่ะ แล้วพบกันอีกในบทความใหม่นะคะ

                                                ...................................